แพทย์ หรือ หมอ นับเป็นอีกหนึ่งอาชีพที่น้อง ๆ หลายคนใฝ่ฝันอยากเข้าเรียน อยากเป็นหมอ และจบออกมาประกอบอาชีพนี้
พี่วีวี่เคยได้สัมภาษณ์น้อง ๆ ลูกศิษย์ WE ที่อยากเป็นหมอ อยากเข้าเรียนต่อในคณะแพทย์หรือคณะสายสุขภาพ มีหลายคนที่มีแรงบันดาลใจอยากจะสอบแพทย์ตั้งแต่ยังเด็ก ด้วยความที่อยากจะดูแลคนที่รัก หรืออยากช่วยเหลือสังคม
หรือบางคนอาจจะเลือกเรียนสายนี้เพราะทางบ้านปลูกฝังมาตั้งแต่เด็ก มีญาติหรือมีคุณพ่อคุณแม่ ประกอบอาชีพสายแพทย์อยู่ ก็ยิ่งทำให้เรารู้สึกอยากจะเป็นแบบท่าน แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม การสอบติดคณะแพทย์หรือคณะสายสุขภาพได้นั้นไม่เคยมีคำว่าง่ายเลย
“อาชีพแพทย์นั้นมีเกียรติ แพทย์ที่ดีจะไม่ร่ำรวย แต่ไม่อดตาย
ถ้าใครอยากร่ำรวย ก็ควรประกอบอาชีพอื่น”
สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก
พระบิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบันของไทย
พี่วีวี่เชื่อว่าน้อง ๆ ที่เข้ามาอ่านบทความนี้ คงมีเป้าหมายอยากจะเข้าเรียนคณะแพทยศาสตร์หรือคณะสายสุขภาพ และคงกำลังหาข้อมูลหรือแนวทางการเตรียมตัวให้ถึงฝันกันอยู่แน่ ๆ
สำหรับคนที่อยากเป็นหมอแต่ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มยังไงดี วันนี้พี่วีวี่จะมาไกด์ แนวทางการเตรียมตัวสอบหมอ ว่าต้องเตรียมตัวยังไง สอบวิชาอะไรบ้าง และรวมข้อมูลสำคัญที่น้อง ๆ ทีมหมอควรทราบ จะได้เตรียมตัวแต่เนิ่น ๆ ถ้าพร้อมแล้วเราไปดูกันเลย
สนใจหัวข้อไหน คลิกอ่านเลย
อยากเป็นหมอต้องรู้ กสพท คืออะไร?
กสพท ที่น้อง ๆ เคยได้ยินกันคุ้นหูหรือเรียกจนติดปาก คือชื่อย่อของ กลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย เป็นหน่วยกลางที่ได้รับมอบอำนาจจากคณะ / วิทยาลัย / สำนักวิชาแพทยศาสตร์ 19 สถาบัน, คณะ / สำนักวิชาทันตแพทยศาสตร์ 14 สถาบัน, คณะสัตวแพทยศาสตร์ 11 สถาบัน และคณะเภสัชศาสตร์ 14 สถาบัน ซึ่งเป็นผู้กำหนดหลักเกณฑ์ในการคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาต่อใน 4 คณะตามนี้
- หลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิต
- หลักสูตรทันตแพทยศาสตรบัณฑิต
- หลักสูตรเภสัชศาสตรบัณฑิต
- หลักสูตรสัตวแพทยศาสตรบัณฑิต
นอกจากนี้ กสพท ยังมีหน้าที่ดำเนินการจัดสอบในสนาม TPAT1 (วิชาเฉพาะ กสพท) ของทุก ๆ ปีด้วยนั่นเอง
อยากเป็นหมอ! คุณสมบัติแบบไหน / แผนการเรียนอะไร สมัครสอบ กสพท ได้บ้าง?
Dek68 คนไหนที่ใฝ่ฝันอยากเป็นหมอ และอยากเตรียมความพร้อมล่วงหน้าตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อไม่ให้พลาดคณะแพทย์หรือคณะสายสุขภาพ พี่วีวี่ก็ได้รวบรวมข้อมูลที่เหล่าว่าที่คุณหมอต้องรู้มาฝากกัน โดยอ้างอิงจาก ประกาศกลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย ปีการศึกษา 2567 ค่ะ
(ทั้งนี้หากมีประกาศการรับสมัคร กสพท ปีการศึกษา 2568 ออกมาเมื่อไหร่ พี่วีวี่จะรีบนำมาอัปเดตกับน้อง ๆ ก่อนใครเลยนะ 🤩)
น้อง ๆ ที่อยากเป็นหมอ อยากสอบแพทย์ และต้องการสมัครสอบ กสพท จะต้องเป็นนักเรียนที่กำลังศึกษาชั้น ม.6 หรือเทียบเท่า รวมถึงเด็กซิ่ว, กศน., ปวช. หรือจบ ป.ตรี ก็สามารถสมัครคณะแพทย์ได้เช่นกัน (ดูรายละเอียดคุณสมบัติเพิ่มเติม คลิกเลย!!)
และในปีที่ผ่านมา กสพท ได้เพิ่มเกณฑ์การสมัครใน หลักสูตรทันตแพทยศาสตรบัณฑิต ให้น้อง ๆ ทุกแผนการเรียนทั้งสายวิทย์และสายศิลป์สามารถสมัครสอบได้ด้วยนะ
อยากสอบแพทย์ให้ติดรอบ กสพท (รอบที่ 3 : Admission) ต้องสอบอะไรบ้าง?
คราวนี้พี่วีวี่จะพาน้อง ๆ มาเจาะลึก!! ถึงวิชาที่คนอยากเป็นหมอต้องสอบและเป้าหมายคะแนนเบื้องต้น ที่จะช่วยให้น้อง ๆ สอบติด กสพท รอบที่ 3 หรือรอบ Admission ได้อย่างที่ต้องการ ซึ่ง ประกาศกลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย (กสพท) ในปีการศึกษา 2567 นี้ เปิดรับรวม 2,411 คน
โดยคะแนนที่ใช้ยื่นในรอบ กสพท จะมีการ คิดคะแนนจากข้อสอบ 2 สนามคือ TPAT1 วิชาเฉพาะ กสพท และ A-Level ในสัดส่วนที่แตกต่างกันตามนี้เลย
สัดส่วนคะแนน TPAT1 และ A-Level ที่ใช้ยื่นรอบ กสพท (รอบที่ 3 : Admission)
หมายเหตุ : อ้างอิงตามประกาศกลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย ฉบับที่ 5 เรื่องการสอบ TPAT1 (วิชาเฉพาะ กสพท) ปีการศึกษา 2567 พบว่าข้อสอบฉบับที่ 1 มีข้อสอบจำนวน 11 ข้อ จาก 45 ข้อ ที่มีเนื้อหาตรงกับข้อสอบเก่า ๆ ของ BMAT จึงมีมติให้ตัดข้อสอบฉบับที่ 1 ออก และคิดคะแนนเฉพาะในฉบับที่ 2 และ 3 คะแนนรวม 200 คะแนน หรือ 20% เพื่อนำไปรวมกับ A-Level อีก 70%
คะแนน TPAT1 วิชาเฉพาะ กสพท คิดเป็น 30% (สอบช่วงเดือนธันวาคม)
วิชาแรกที่น้อง ๆ ว่าที่คุณหมอที่เตรียมสอบแพทย์ทุกคนจะต้องเจอก็คือ TPAT1 วิชาเฉพาะ กสพท หรือที่ติดปากเรียกกันว่า ความถนัดแพทย์ นั่นเอง สำหรับข้อสอบความถนัดแพทย์จะถูกแบ่งออกเป็น 3 พาร์ต ได้แก่ พาร์ตเชาวน์ปัญญา, พาร์ตจริยธรรม และพาร์ตเชื่อมโยง ซึ่งแต่ละพาร์ตคะแนนเต็ม 100 คะแนน รวมทั้ง 3 พาร์ตเท่ากับ 300 คะแนน
พี่วีวี่แนะนำน้อง ๆ ว่าคะแนนข้อสอบ TPAT1 ความถนัดแพทย์นี้สำคัญมาก ๆ สำหรับคนอยากเป็นหมอ เพราะกินเปอร์เซ็นต์ถึง 30% ดังนั้นเพื่อความอุ่นใจ น้องควรตั้งเป้าหมายและทำให้ได้ 190 คะแนนขึ้นไป (อันนี้พี่วีวี่แอบถามรุ่นพี่เด็ก WE มานะน้อง ๆ)
ข้อสอบ TPAT1 แต่ละพาร์ต ออกอะไรบ้าง?
Part 1 เชาว์ปัญญา (100 คะแนน)
พาร์ตเชาว์ปัญญาเป็นพาร์ตตัวช่วยเก็บคะแนน แต่ต้องระวังให้ดี!! น้อง ๆ ที่คำนวณช้าหรือเตรียมตัวไม่พร้อม อาจเสียเวลาในพาร์ตนี้นาน เป็นพาร์ตที่ต้องเน้นความเร็ว ใช้ตรรกะและการคำนวณเป็นหลัก เรียกง่าย ๆ คือการวัด IQ ทักษะทางคณิตศาสตร์ อนุกรม มิติสัมพันธ์ของภาพที่หายไป
รวมถึงแนวโจทย์ที่ต้องตีความ วิเคราะห์ข้อมูล และสรุปผลจากเงื่อนไขหรือข้อมูลที่โจทย์กำหนดให้ หรือให้มาในรูปแบบบทความสั้น ๆ ที่ต้องอ่านจับใจความและเลือกคำตอบที่ถูกต้อง แนวข้อสอบของพาร์ตเชาว์ปัญญา น้องสามารถฝึกเพิ่มจากข้อสอบ BMAT ได้เช่นกัน
Part 2 จริยธรรมทางการแพทย์ (100 คะแนน)
พาร์ตจริยธรรมทางการแพทย์นี้ น้อง ๆ ที่อยากเป็นหมอต้องให้ความสำคัญมาก ๆ เพราะเป็นพาร์ตที่ประเมินแนวคิดทางจริยธรรม
โดยแนวโจทย์จะเน้น TOPIC จริยธรรม & เรื่องเฉพาะทางการแพทย์ที่เราไม่เคยเรียนให้ห้องเรียนมาก่อน ขนมาให้น้อง ๆ แสดงความคิดเห็น แก้ปัญหาให้สมเหตุสมผลและเหมาะสมที่สุด ในสถานการณ์จำลองที่กำหนดขึ้นมา รวมทั้งยังต้องคำนึงถึงความถูกต้องทางกฎหมาย สังคม และจรรยาบรรณแพทย์อีกด้วย
Part 3 ทักษะการเชื่อมโยง (100 คะแนน)
พาร์ตความคิดเชื่อมโยงจะทดสอบการวิเคราะห์ข้อมูล และการตีความข้อมูล แปลงรหัสคำตอบอย่างมีขั้นตอน โดยจะใช้การคิดวิเคราะห์ที่ซับซ้อน ข้อสอบจะมีบทความซึ่งเป็นสถานการณ์สมมุติ หรือข่าวสารปัจจุบันที่น่าสนใจมาให้น้องลองตีโจทย์ และหาคำตอบที่ถูกต้องนั่นเอง
คะแนน A-Level 7 วิชา คิดเป็น 70% (สอบช่วงเดือนมีนาคม ของปีถัดไป)
สนามต่อมาที่น้อง ๆ ว่าที่นักเรียนแพทย์ทุกคนต้องสอบก็คือ สนาม A-Level หรือ Applied Knowledge Level ข้อสอบในสนามนี้จะเป็นข้อสอบที่วัดความรู้เชิงประยุกต์ ซึ่งน้อง ๆ ต้องสอบและเก็บคะแนนทั้งหมดถึง 7 วิชาด้วยกัน ได้แก่ ฟิสิกส์, เคมี, ชีววิทยา, คณิตศาสตร์ประยุกต์ 1, ภาษาอังกฤษ, ภาษาไทย และสังคมศึกษา ซึ่งคะแนน A-Level แต่ละวิชาคิดเป็นสัดส่วนดังนี้
- วิทยาศาสตร์ (ฟิสิกส์, เคมี, ชีววิทยา) 40%
- คณิตศาสตร์ 20%
- ภาษาอังกฤษ 20%
- ภาษาไทย 10%
- สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม 10%
โดยมีเงื่อนไขสำคัญคือน้อง ๆ ต้องสอบได้คะแนนไม่น้อยกว่า 30% ของคะแนนเต็มในแต่ละวิชาก่อน จึงจะนำคะแนนที่ได้เหล่านั้นมาคิดตามสัดส่วนเป็นคะแนนที่ใช้ประกอบในการยื่นรอบ กสพท
คิด ๆ ดูแล้วไม่ง่ายเลยกับการเตรียมสอบ A-Level ทั้ง 7 วิชา แต่พี่วีวี่เชื่อว่าน้อง ๆ ศิษย์สำนักช้างน้อยทุกคนมีวินัย มีความขยันอดทน และสามารถทำตามความฝันสอบติดแพทย์ได้แน่ ๆ (พี่ ๆ ขอเป็นกำลังใจให้ทุก ๆ คนนะ)
น้องจะเห็นแล้วว่าวิชาที่ต้องใช้คะแนนในการยื่นรอบ กสพท มีหลายวิชาที่ต้องสอบ (รวม ๆ กัน 10 วิชา 😂) แถมบางวิชาเราก็ยังไม่เคยเจอในบทเรียนมาก่อน ดังนั้นการวางแผนที่ดีจึงเป็นสิ่งสำคัญในการพิชิตสนามสอบแพทย์ครั้งนี้
เตรียมตัวยังไงให้ Success เริ่มต้นยังไงให้ถึงฝัน สำหรับน้อง ๆ ที่อยากเป็นหมอ
ถ้าน้อง ๆ อ่านมาถึงตอนนี้ แต่ยังไม่แน่ใจว่าจะเริ่มต้นยังไง พี่วีวี่จะมาไกด์ให้ฟัง…
เมื่อน้องรู้ตัวรู้ใจแล้ว การเตรียมตัวเร็วย่อมได้เปรียบ ถ้าคณะแพทย์คือคณะที่ใฝ่ฝันสูงสุด อยากสอบแพทย์เพราะหมอคืออาชีพที่อยากจะทำมากที่สุด เตรียมตัวเตรียมใจมาพร้อมแล้วว่าอีก 6 ปีต่อจากนี้ต้องเจออะไรบ้าง งั้นใส่ให้สุดไปเลยค่ะน้อง ๆ
1. รู้ว่าต้องสอบวิชาไหนบ้าง สัดส่วนคะแนนเป็นยังไง
ขั้นแรกพี่วีวี่อยากให้น้องมองภาพกว้าง ๆ ก่อน ลองเช็กดูว่าวิชาไหนสำคัญ วิชาไหนสอบก่อน และเรียงลำดับความสำคัญของวิชาที่ต้องใช้คะแนนให้ดี
เช่น รู้แล้วว่า TPAT1 จะสอบก่อน A-Level แต่ A-Level ต้องสอบถึง 7 วิชา และพอคิดเป็นเปอร์เซ็นต์แล้วคะแนนรวมสูงถึง 70% นั่นก็แสดงว่าน้อง ๆ เตรียมตัวแค่สนามสอบอันใดอันหนึ่งอย่างเดียวไม่ได้ ต้องเตรียมสอบทั้งสองสนามแบบควบคู่กันไป
2. จัดอันดับมหาวิทยาลัยที่ใฝ่ฝัน และตั้งเป้าคะแนนที่คาดหวัง
สิ่งต่อมาที่น้อง ๆ ที่เตรียมสอบแพทย์ต้องทำ คือการวางแผนและกำหนดเป้าหมายว่ามหาวิทยาลัยไหนที่ใฝ่ฝันสูงที่สุด อยากจะเข้าเรียนที่ไหนมากที่สุด เพื่อตั้งเป้าหมายคะแนนและทำให้ถึงเป้า (น้องสามารถคลิกเข้าไปดู สถิติคะแนนสอบ กสพท ได้เลยนะคะ) เมื่อมีเป้าหมายและแผนแล้ว สิ่งสำคัญคือต้องรับผิดชอบต่อแผนที่เราวางไว้ด้วยนะน้อง
ซึ่งแผนการที่ดีจะนำไปสู่เป้าหมายที่สำเร็จ และเป้าหมายที่สำเร็จย่อมเกิดจากการปฎิบัติตามแผนการที่ดี นั่นก็แสดงว่าน้อง ๆ วางแผนแล้วก็ต้องทำตามแผนที่วางไว้ด้วย
แต่ไม่ต้องตึงมากจนเกินไป หย่อนได้บ้าง อย่าลืมให้กำลังใจตัวเองเสมอ (กอด ๆ 🥰) หรือหากำลังใจจากคนรอบข้างด้วย (พี่วีวี่แล้วหนึ่ง 🥰) ที่สำคัญควรแบ่งเวลาให้ดี พักผ่อนให้เพียงพอ เพราะร่างกายและสมองที่ล้า ย่อมไม่ส่งผลดีต่อการเรียนและการอ่านหนังสือของเราแน่ ๆ
3. ติวสอบแพทย์ต้องอ่านตำราควบคู่กับการฝึกทำโจทย์
ถ้าอยากติวสอบแพทย์ให้สำเร็จ น้องต้องอ่านทบทวนเนื้อหาควบคู่ไปกับการทำโจทย์เสมอ เพราะการอ่านตำราเพียงอย่างเดียว ไม่อาจทำให้เราประสบความสำเร็จในสนามสอบได้ ถึงแม้น้องจะจำได้ทุกสูตร จำเนื้อหาได้ทุกเรื่องที่อ่านไป แต่ถ้าไม่เคยนำออกมาใช้ลงมือทำโจทย์ เมื่อต้องใช้จริงในสนามสอบอาจทำให้เราติดขัดได้
ดังนั้นก่อนสอบจริงต้องฝึกฝนทำโจทย์เยอะ ๆ นำความรู้ที่ได้จากการอ่านหรือที่เรียนมาเอามาใช้ให้คล่อง ยิ่งทำโจทย์เยอะก็จะยิ่งเข้าใจ และมีความมั่นใจในวันสอบมากยิ่งขึ้น
แต่ถ้าข้อไหนที่น้องทำไม่ได้ ทำแล้วติด หรือทำผิด ก็ไม่ต้องตกใจไปนะ น้องสามารถแอบดูเฉลยเพื่อเช็กว่าเราหลุดตรงไหนไป อะไรที่ยังไม่แม่นก็จดโน้ตเอาไว้กลับมาทบทวน น้อง ๆ จะไม่พลาดในวันสอบอย่างแน่นอน
4. เรียนพิเศษเสริมความมั่นใจและเพิ่มโอกาสสอบติดแพทย์
หาตัวช่วยเสริมความมั่นใจด้วยการเรียนพิเศษ พี่วีวี่บอกเลยว่าการเรียนพิเศษเพิ่มมีข้อดีหลายอย่าง เพราะเนื้อหาวิชาที่น้อง ๆ ต้องใช้สอบแพทย์นั้นมีหลายวิชา หากทบทวนด้วยตัวเองอาจจะไม่ทัน การเรียนเสริมจึงตอบโจทย์ช่วยลดเวลาการทบทวนของน้องลงได้ นอกจากนี้การเรียนพิเศษติวสอบแพทย์ ยังเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่จะเสริมความมั่นใจก่อนเข้าสอบให้กับน้อง ๆ
และที่สำคัญการเรียนพิเศษจะทำให้น้องได้เห็นแนวโจทย์ที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น ทั้งข้อสอบเก่าและข้อสอบเก็ง ที่มีระดับความยากใกล้เคียงกับข้อสอบจริง รวมถึงการเสริมเทคนิคที่มีประโยชน์ที่สามารถนำไปใช้ได้จริงในห้องสอบด้วยนะ
สุดท้ายนี้พี่วีวี่อยากจะฝากน้อง ๆ ที่เตรียมสอบแพทย์ทุกคนไว้ว่า คู่แข่งคนสำคัญไม่ใช่คนที่นั่งสอบอยู่โต๊ะข้าง ๆ เรา แต่มันคือ “ตัวเราเอง” เพราะตัวเราเท่านั้นคือผู้ที่กำหนดอนาคตของเราได้ เมื่อเป้าหมายของน้องชัดเจนว่าอยากเป็นหมอ ก็ขอให้น้องทำมันให้เต็มที่ สุดความสามารถ พุ่งไปยังเป้าหมายที่น้องวางไว้ให้สำเร็จ
ส่วนด้านล่างนี้เป็นแผน Timeline คร่าว ๆ สำหรับการเตรียมตัวให้พร้อมสอบเข้าคณะแพทย์และคณะสายสุขภาพที่พี่วีวี่นำมาแชร์กันวันนี้ ขอให้น้อง ๆ โชคดี สอบติดแพทย์อย่างที่ฝันกันทุกคนนะคะ 💙
อยากเป็นหมอ! Timeline วางแผนเข้าคณะแพทย์ (ระบบ กสพท)